SCB EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับขึ้นต่อเนื่องสู่ 2.5% ในไตรมาส 3 นี้ หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2% ต่อปี โดย SCB EIC คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ได้กลางปีนี้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง
เศรษฐกิจเดือนเม.ย.ฟื้นตัวตามท่องเที่ยว ระยะต่อไปยังเสี่ยงจากการเมือง
กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด มีผลทันทีวันนี้ (31 พ.ค.)
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย
กนงคำพูดจาก เว็บสล็อตแท้. ประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.6% และ 3.8% ในปี 2023 และ 2024
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกต่อการจ้างงานและรายได้แรงงาน และเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน
ด้านการส่งออกทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นในระยะต่อไป สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่แม้จะชะลอลงบ้างแต่ยังมีทิศทางขยายตัว โดยเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งจากนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังมีความไม่แน่นอน
กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.5% และ 2.4% ในปี 2023 และ 2024
อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตามแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันที่ทยอยคลี่คลาย
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 2% ในปี 2023 และ 2024 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านสูงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ซึ่งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะต่อไป นอกจากนี้ เงินเฟ้อพื้นฐานที่อยู่ในระดับสูงนานต่อเนื่องอาจกระทบต่อพฤติกรรมการตั้งราคาของผู้ประกอบการได้
กนง. ประเมินว่า ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ขณะที่ภาวะการเงินผ่อนคลายลดลง
ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น
ด้านภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลงจากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่ปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ส่วนหนึ่งตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของเงินหยวน รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย
วิจัยกรุงศรีชี้มีความเสี่ยงเงินเฟ้อสูง
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีมติเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี สู่ระดับ 2.00% ต่อปี ซึ่งเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 6 นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 โดยมีความเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านสูง
จากถ้อยแถลงระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องชัดเจน ผลจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังคงตัวเลขแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3.6% ในปีนี้ และ 3.8% ใน 2567 ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวอยู่ที่ 2.0% ในปี 2566 และ 2567 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต
ทั้งนี้ หลังการประกาศของ กนง. ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ราว 34.74 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐ โดยภาพรวมในปีนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 0.6% ซึ่ง กนง. ย้ำว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ เป็นผลจากแนวโน้มของนโยบายการเงินของเฟด การอ่อนค่าลงของเงินหยวน รวมทั้งความไม่แน่นอนของสถาการณ์การเมืองภายในประเทศ
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ซึ่งจากท่าทีของ กนง. ที่ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันนี้บ่งชี้ว่า มีความกังวลชัดเจนเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานสูง โดยระบุถึงความเสี่ยงด้านขาขึ้นของการเติบโตภายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ แม้จะระบุว่ายังคงต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยยังมีความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับสูง
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.0% แต่ยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงที่ กนง. อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อ ขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ และปัจจัยทางการเมือง